ANTONIO TABUCCHI in THAI

 

เพลงรัตติกาลในอินเดีย (ANTONIO TABUCCHI via นันธวรณ์ ชาญประเสริฐ) สนพ. บุคไวรัส 2012
กระเป๋าเดินทางชื่อร่างกาย

ผมหมายถึงร่างกายน่ะครับ…อาจเป็นเหมือนกระเป๋าเดินทาง บรรจุตัวเราพาไปไหนมาไหน

นี่ตัวเอกของเรื่องเขาตอบกับตัวละครตัวหนึ่ง

การเขียนก็คือกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งด้วยกระมัง นี่ผมตอบตัวเองเมื่อวางหนังสือลง หนังสือที่พกพาเอาวิญญาณของผมระหกระหินไปในราตรีกาลของดินแดนแปลกหน้าชั่วนิรันดร์อย่างอินเดีย ซึ่งตอกย้ำความแปลกหน้าชั่วนิรันดร์ของมันด้วยการที่เราไม่อาจจะมองเห็น เข้าใจ หรือสัมผัสอย่างลึกซึ้งไปมากกว่าจ้องมองอย่างแปลกหน้า สวมสายตาของตัวละครที่เที่ยวท่องไป สายตาของคนนอกที่แม้จะเดินทางผ่านอินเดียในตัวหนังสือ หรืออินเดียบนพื้นที่จริงก็ไม่อาจเข้าใจ

‘ผม’ เดินทางตามหาเพื่อนลูกครึ่งอินเดียโปรตุเกสที่พลัดหลงไปในอินเดีย เก็บเล็กผสมน้อยจากข้อมูลตรงนั้นตรงนี้ จากโสเภณีที่เขารัก หมอที่เขาอาจจะไปรักษา เมืองที่เขาอาจจะเคยไป คนหนุ่มล่องลอย สนทนากับผู้คนมากหน้ากลางราตรีกาลที่ยาวนาน เขาจะหลับในตอนค่อนรุ่ง อินเดียจึงเปนรูปรอยของความมืด ร่องรอยของเงาที่พาดบนผนังและเพดาน ผู้คนที่ผ่านพบแล้วพลัดพรากกันไป คนแล้วคนเล่า บทสนทนาเลื่อนลอยม่ปะติดปะต่อ ข้อมูลเล็กๆน้อยที่พลัดพรายหายไปทุกที ผมค่อยๆเผยตัวออกมาเชื่องช้า ว่ากำลังเดินทางไปเมืองกัว เพื่อศึกษาพระคัมภีร์เล่มหนึ่ง ตำราเล่มหนึ่ง เรื่องเก่าๆที่ใครลืมไปหมดแล้ว

ผมค่อยๆเผยตัวเชื่องช้่าว่าที่ผมตามหาอาจะเป็นตัวเอง ซึ่งคงเป็นสิ่งที่ผมจะไม่มีวันหาพบไปชั่วนิรันดร์

หนังสือขับเคลื่อนตัวเองไปเช่นนั้น ท่ามกลางความล่องลอย เลื่อนไหล ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นรุนหลังตัวละครให้เดินทางจากเมืองหนึ่งไปยังเมืองหนึ่ง ราวกับการตามหาเพื่อนคือสายเชือกเล็กที่เขาจงใจยึดไว้เพื่อไม่ให้ร่วงหล่นลงในบึงลึกไร้ก้นของอาการไร้ตัวตน

ราวกับผู้เขียนเขียนเรื่องเล่าเหล่านี้ขึ้นทดแทนบันทึกการเดินทางไปเที่ยวอินเดียของตัวเอง (เข้าใจว่าตาบุคคี่ไปทำงานที่เมืองกัวจริงๆ) อินเดียในเรื่องจึงเป็นอินเดียสามระดับในระดับแรกคืออินเดียของผม ตัวละครที่สัมผัสแต่ไม่เข้าใจ อินเดียของเขาคืออินเดียที่เพื่อนสูญหายไป ในอีกระดับอินเดียของเขาอาจจไม่ได้กลืนเพื่อนของเขาเข้าไป หากแต่เป็นอินเดียที่ได้คายเอาความว่างเปล่าของเขาออกมา ในระดับนี้นี่อาจเป็นอินเดียของตาบุคคี่ด้วย อินเดียที่เปี่ยมเสน่ห์ยวนใจรัดรึงลึกลับ อินเดียอันexotic จนเรื่องนี้ได้ถูกเขียนขึ้น เช่นกันในระดับสุดท้ายอินเดียของผู้อ่านที่ไม่ได้ไปอินเดีย ไม่เคยเห็นอินเดียด้วยตามาก่อน อินเดียที่คลุเครืออยู่ในโลกสามใบที่ซ้อนทับกันไปมา ผู้อ่านอ่านบันทึการเดินทางของผมที่เขียนขึ้นรูปแบบนวนิยาย ซ่อนความนัย และผู้อ่านล่องไหลไปมาในอินเดียทั้งสองนั้น

แม้โดยส่วนตัวผมจะรู้สึกว่าบทสุดท้ายของหนังสือได้คลี่คลายความหมายของมันเสียจนออกจะชัดเจนมากเกินอยู่สักหน่อย แต่การที่เราได้ค้นพบว่าอันที่จริงสิ่งที่เรามองเห็นไม่ใช่อินเดีย แต่คือความไม่เห็นอินเดีย สิ่งที่เราสัมผัสไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นความไม่มีตัวตนต่างหาก เราไม่ได้เห็นกระเป๋าเดินทาง แต่กระเป๋าเดินทางได้ทำให้เราเห็นว่าอากาศเปล่าๆที่บรรจุอยู่ภายในแตกต่างจากอากาศข้างนอกอย่างไร

ถึงที่สุดบทสุดท้ายอาจจะเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าเพื่อหลีหญิงเท่านั้นก็เป็นได้ เขาอาจจะสร้างเรื่องที่เราอ่านมาทั้งมหดเพื่อสร้างความประทับใจให้สาวแปลกหน้า หรืออาจจะเป็นเพียงการหลอกตัวเอง หรือทั้งหมดที่จริงเป็นความจริงถึงที่สุดเราไม่มีทางรู้ และความไม่รู้นี่ต่างหากที่สำคัญ การรู้ว่าไม่รู้อาจจะคือความรู้เดียวที่เราพึงรู้

คำยืนยันของเปย์เรรา ( อันตอนิโอ ตาบุคคี่ via นันธวรรณ์ ชาญประเสริฐ) คำยืนยันของข้าพเจ้าต่อเปย์เรรา

เรื่องของเปย์เรรานักหนังสือพมพ์อ้วนใหญ่วัยใก้เกษียณที่มีหน้าที่รับผิดชอบส่วนวัฒนธรรมของ ลิชโบอา หนังสือพิมพ์เปิดใหม่ที่เป็นกลางทางการเมือง อันแปลว่าไม่ลงอะไรเสี่ยงๆทางการเมือง มันคือช่วงฤดูร้อนของลิสบอน ยุคสมัยผเด็จการซาลาซาร์ บ้านใกล้เรือนเคียงก็มีผเด็จการฟรังโก้ในเสปน กระแสลมแห่งการต่อต้านพัดล่

องเหนือมหาสมุทรแอตแลนติค ซึ่งถ้าจะมีอะไรเกี่ยวข้อง เปย์เรราคนที่พูดกับรูปเมียที่ตายไปทุกวัน ทุกข์ทรมานจากโรคหัวใจ แก่ชราพ้นวัย ลุ่มหลงในวรรณกรรมฝรั่งเศสศตวรรษที่19คงเป็นคนสุดท้ายที่จะมีส่วนด้วย แต่ไม่มีความปราณีในการเมืองที่ทุกคนเป็นตัวเล่น และนี่คือคำยืนยันของผู้อานต่อ เปย์เรรา และคำยืนยันของเขา

อันที่จริงมันคงไม่มีอะไรถ้าเปย์เรราไม่อยากได้ใครสักคนมาเขียนจดหมายไว้อาลัยให้นักเขียนที่ยังไม่ตาย เมื่อตาย ลิชโบอาจะได้เป็นเล่มแรกที่มีจดหมายไว้อาลัย และถ้าเปย์เรราไม่มามัวหมกมุ่นกับความตายเสียเองเขาก็คงไม่เจอ มอนเตย์โร โรสซี ที่เขียนเรื่องความตายลงในนิตยสารลสักเล่ม อันที่จริงก็ลอกเขามาเสียเกินครึ่งอีกต่างหาก แล้วถ้าไม่เพราะเช่นนั้น เขาก็คงไม่รับโรสซี่ไว้เป็นเด็กฝึกงาน ได้เจิแฟนสาวหัวก้าวหน้าของโรสซี ได้อ่านจดหมายอาลัยที่ไม่มีอะไรนอกจากการเป็นถ้อยแถลงจำแลงร่างของงานการเมือง แต่เปยืเรราก็ช่วยเลือกเด็กหนุ่มที่ตอนร้องเพลงดูคล้ายกับเขาตอนหนุ่ม และคงมีอายุเท่าๆกับลูกชายถ้าเปย์เรรามีลูก เย็เรราไม่รู้ไม่เห็นอะไรมากไปกว่าหน้าหนังสือพิมพ์ อาการป่วยไข้ของตน การบำบัดรักษษด้วยหมอที่คุยกันถูกคอที่นอกเมือง ไข่เจียวสมุนไพร น้ำมะนาวใส่น้ำตาลครึ่งแก้ว เรื่องสั้นของ เดอโมปาสซังค์ หรือ โดเดต์ เขากำลังรื่นรมย์ในช่วงเวลาท้ายๆของชีวิต เราอาจจะบอกแบบนี้ก็ได้ นี่ก็คือคำยืนยันของผู้อ่านต่อเปย์เรราเช่นกัน

ไม่สำคัญเลยว่าเปย์เรารายืนยันอะไร ที่สำคัญต่อหนังสือเล่มนี้คือมันเป็รูปแบบของการยืนยัน เป็นจดหมาย หรือคำสารภาพ คำให้การ อะไรสักอย่างในรูปของคำยืนยัน ซึ่งเปย์เราราและผู้เขียนย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขายืนยัน ปัญหาคือเปย์เรรายืนยันสิ่งนี้ต่อใคร ยืนยันไปทำไม เพราะถ้าหากมันเป้นคำยืนยันแล้วล่ะก็สิ่งที่เราอ่านมาทั้งหมดไม่ใช่อะไรเลยนอกจากการต่อสู้ดิ้นรนที่ไม่เกอิดประโยชน์โภชน์ผลใดๆ เมื่อมันเป็นเพียงคำยืนยันเสียแล้วก็หมายความว่า สิ่งใดๆที่เปย์เรร่าทำหรืไม่ได้ทำ แม้แต่จะไม่ได้คิดกรือคิดก็ไร้ความหมาย โธ่คุณ เปย์เราร่าอยู่ในสมัยผเด็จการซาลาซาร์นะคุณ ผู้แ่านเช่นผมมายืนยันที่หลัง นี่ก็หลังจากซาลาซาร์สิ้นอำนาจไปแล้ว

พึงระลึกเสมอว่านี่คือคำยืนยัน ดังนั้นสิ่งที่เราได้อ่านจะไม่ได้นำพาไปสู่ควาเมปลี่ยนแปลงใด หนำซ้ำมันอาจจะซ่อนนัยเอาไว้บอกไม่หมด เพื่อไม่ก่อให้เกิดปัญหาต่อตัวเปย์เรราเอง แล้วถ้ามันบอกหมดแล้วล่ะก็ มันก็ไม่ได้มีความหมายเหมือนกัน เปย์เราร่าไม่มีทางรอดพ้นไปได้ แม้ว่าเขาจะยืนยันตัวเองสักเท่าไรก็ตาม เมื่อมันเป็นคำยืนยันของปัจเจกชนต่อหน้าการตัดสินของตำรวจแห่งยุคสมัยผเด็จการ แน่นอนหนังสืิอไม่ได้บอกไว้ เพียงย้ำกับเราซ้ำๆว่านี่คือคำยืนยัน คำยืนยันรับรองว่าเป็นจริง คำยืนยันว่านี่คือทั้งหมดที่กระทำ คำยืนยัน ที่กล่าวให้ง่ายว่า คำสารภาพ หรือคำตอบสำหรับการืบสวนสอบสวน เมื่อเปย์เรรายืนยัน เขาก็ได้ยอมรับไปในที่สุด ไม่ว่าเจตจำนงจะเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นที่ผู้รับฟังคำยืนยันจะต้องสำนึกใส่ใจ พวกเขาไม่ได้สนใจว่เปย์เราร่าทำสิ่งใดมากกว่าไปกว่าทำอะไร คำยืนยันทั้งหมดคือเหตุการณ์จบสิ้นสำหรับคนที่เปย์เรนรายืนันด้วยแต่ทอดยาวออกไปสำหรับเรา ผู้อ่าน ผู้อ่านยืนยัน

คนเช่นเปย์เรรา ก็เป็นเช่นผู้อ่านจำนวนมาก อยู่ไกลจากความวุ่นวายทางการเมืองใดๆหลายล้านปีแสง หรือกล่าวให้ถูกต้องหลบเร้นจากความวุ่วายทางการเมืองหลายล้านปีแสง คนเช่นเปย์เรราเก็บจิตสำนึกทางการเมืองของตนไว้กับตัว ไม่พูดหรืออธิบายใดๆ ถ้าเปย์เราราจะยืนยันตัวเองแล้วล่ก็ เขาจะไม่ออกไปรวมกลุ่มใต้ดินต่อต้านบนท้องถนน เขาจะอ่านวรรณกรรม เพราะแม้ว่าเขาจะไม่ได้ยืนยันออกมา เขาก็เชื่อว่า โลกจะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยวรรณกรรม สารในขวดของเขาคือสิ่งนี้ รหัสซ่อนเร้นจากการเลือกแปลเรื่องราวของศตวรรษที่แล้วลงหนังสือพิมพ์ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับขบวนการชาตินิยม หรือฟรังโก้ หรือซาลาร์ซาร์ วรรณกรรมของฝรั่เศสซ่อนจดหมายแนบเนียนในขวด ขว้างลงในมหาสมุทรของหนังสือพิมพ์ เขาทำได้เท่านั้นเอง แค่อยากคุยกับใครสักคนที่มีความเห็นทางการเมืองน่าสนใจคนอย่างคุณหมอที่เพิ่งรู้จักจึงน่าสนใจกว่าเพื่อนเก่าที่น้ำพุร้อน สำหรับเปย์เราราที่ต้งคุมอาหาร และการเดินขึ้นเนินกลับบ้านยังยากเย็น เขาไม่ปรารถนาสิ่งใดนอกจากเร้นกายเงียบเชียบ แปลงานโดยไม่ลงชื่อ หวังว่าใครสักคนจะได้จดหมายในขวด

ปัญหาก็ตรงนี้แหละ เมื่อคนที่ได้รับจดหมายในขวดไม่ใช่คนที่เขาปรารถนา เรื่องของเขาจึงค่อยๆนำไปสู่ชะตากรรมเลวร้าย ไหนจะจดหมายของโรสว๊ที่ไม่ได้ลงพวกนั้นอีก เปย์เรราจะเร้นกายอยู่หลัวความนิรนามได้อย่างไรในเมื่อความนิรนามไม่มีจริง ไม่ว่าจะชอบใจหรือไม่ เปย์เรราและเราทุกคน แม้แต่คนที่ได้อ่านคำยืนยันของเขาสามารถถูกดึงตัวออกจากฝูงชนไร้หน้า เพื่อเอามายืนยันตัวเองว่าไม่ได้คิดสิ่งที่คิด เพราะแค่คิดก็ผิดแล้ว ไม่ใช่แค่ผเด็จการซาลาซาร์แต่ทุกความคิดต้านความคิดหลักในโลกนี้

เราจะไม่ถามว่าวรรณกรรมจะเปลี่ยนแปลงโลกได้หรือไม่ ถ้าเปย์เราราต่้องยืนยันว่าไม่มีจดหมายในขวดแล้วล่ะก็มันไม่มีอะไรต้องถามกันอีกต่อไป เราจะไม่ถามด้วยว่า โรสซีทำถูกต้องหรือเปล่า ความตายของเขาจะเปลี่ยนแปลงโลกหรือไม่ เพราะประเด็นสำคัญคือเราได้รับสาส์นจากเปย์เรราแล้ว จดหมายมีข่้อความไม่ได้เปลี่ยนแปลงโลก แต่เปลี่ยนแปลงเรา เตือนให้เราตระหนักว่าเราสิ้นไร้ทางหลบหนีตจ่ออุ้งมือทางกาเรมือง ขณะเดียนวกันก็บอกแก่เราว่า แม้จะเป็นเพียงหนอนหนังสือไร้นาม เราก็สามารถเขียนจดหมายใส่ขวดได้เหมือนกัน วรรณกรรมอาจเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้ แต่เปลี่ยนแปลงเราได้

ไม่ต้องเปย์เรราหรอก ข้าพเจ้านี่แหละยืนยัน

Leave a comment